ที่เที่ยวปัตตานี ปัตตานี หากเอ่ยชื่อจังหวัดนี้ ภาพที่เกี่ยวกับความเป็นเมืองท่องเที่ยวในความรู้จักมีน้อยมาก นอกจากมัสยิดกลาง ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว วัดช้างให้ ก็ไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ส่วนใหญ่จะได้ยินแต่ข่าวความไม่สงบของที่นี่มากกว่า แต่นั้นเป็นเพียงเรื่องราวที่ได้เห็นจากการนำเสนอจากสื่อภายนอก จากคำบอกเล่าของคนอื่น จนก่อให้เกิดความกลัวในใจนิ โดยที่ไม่เคยได้เข้ามาสัมผัสเมืองนี้แบบจริงจัง มาในวันนี้เลยคิดว่าเอานะครั้งหนึ่งในชีวิต ลองเปิดใจมาเที่ยวปัตตานีดูสักที จากนั้นก็พยายามหาข้อมูลท่องเที่ยวแบบตั้งใจดูบ้าง โอ้ โห อึ้งไปเล็กน้อย เรืองเที่ยวปัตตานีก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร เรามีโอกาสได้แวะไปปัตตานีแบบสั้นๆแค่ 1 วัน ซึ่งค่อนข้างเพียงพอสำหรับการไปเที่ยวยังสถานที่ไฮไลท์แห่งเป็นช่วงเวลาแห่งโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับจังหวัดนี้ให้มากขึ้น
วัดช้างให้ ที่เที่ยวปัตตานี
ที่เที่ยวปัตตานี สำหรับการมาเที่ยวปัตตานี หากใครมาถึงในปัตตานีแล้วขับรถได้ แนะนำให้เช่ารถขับ เพราะใช้รถโดยสารอาจไม่สะดวกเท่าใดนัก สถานที่บางแห่งรถโดยสารไปไม่ถึง และเหมารถคงราคาแพง เช่ารถวันละ 1000 กว่าบาท น่าจะคุ้มกว่า ที่ปัตตานีมีบริษัทรถให้เช่า สามารถติดต่อได้ที่ ซีสยาม แทรแวล ลิงค์เพจที่ http://bit.ly/2GlQNPg หรือหากนั่งเครื่องบินมาลงที่หาดใหญ่สามารถเช่ารถจากสนามบินหาดใหญ่แล้วขับมาปัตตานีได้เลย จากสนามบินหาดใหญ่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งมาถึงปัตตานีถ้าไม่มาที่ วัดช้างให้ เหมือนมาไม่ถึง วัดช้างให้ ตั้งอยู่ที่อำเภอโคกโพธิ์ ห่างจากตัวเมืองปัตตานีโดยใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี วัดช้างให้ ถือว่าเป็นวัดต้นตำรับของหลวงปู่ทวด เพราะท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดและอัฐของท่านก็ถูกบรรจุไว้ที่วัดแห่งนี้ วัดช้างให้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อและเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของจังหวัดปัตตานี ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามากราบสักการะหลวงปู่ทวดอย่างไม่ขาดสาย ที่เรียกว่าเมื่อมาถึงปัตตานีดินแดนแห่งปลายด้ามขวานแล้วต้องแวะมาให้ได้
ด้านหน้าวัดเป็นที่ตั้งของสถูปหรือมณฑปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวด ซึ่งอยู่ใกล้กับเขตพัทธสีมาที่ชาวบ้านเรียกว่า “เขื่อนหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” หรือ “เขื่อนท่านเหยียบน้ำทะเลจืด” (คำว่าเขื่อนเป็นภาษาคนพื้นเมืองทางภาคใต้ หมายถึงสถูปที่บรรจุอัฐิของผู้มีบุญ) ซึ่งมีมาก่อนแล้วซึ่งสถูปแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวจังหวัดปัตตานีและใกล้เคียง มีผู้คนไปกราบไหว้บนบานอยู่เนืองนิจ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยหรือวัตถุสิ่งของถูกขโมย หรือศูนย์หายก็พากันไปบนบาน ณ ที่สถูปแห่งนี้ มณฑปหรือสถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ทวดมีรูปปั้นช้างหันหน้าเข้าหามณฑป ทั้ง ๒ ข้าง จากประวัติของวัดช้างให้ ซึ่งมีหลวงพ่อทวดหรือที่ชาวเมืองเมืองไทรบุรีเรียกว่า “ท่านลังกา” หลวงพ่อทวดช่วงที่เป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้ ท่านก็ยังเดินไปมาระหว่างวัดช้างให้กับไทรบุรีอยู่เสมอ วัดช้างให้
มัสยิดกลางปัตตานี
มัสยิดกลางปัตตานี ย้อนกลับเข้ามาในตัวเมืองปัตตานี มุ่งหน้าไปยังสถานที่แลนด์มาร์คที่สำคัญ มัสยิดกลางปัตตานี ที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามมีความโดดเด่น และยังเป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจของผู้นับถือศาสนาอิสลามในภาคใต้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง รูปทรงภายนอกของมัสยิดมีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล เป็นสถานที่เมื่อมาถึงปัตตานีต้องมาชมศิลปะ และความสวยงามของตัวอาคาร มัสยิดแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นมัสยิดที่สวยงามที่สุดในประเทศไทยอีกด้วยบรรยากาศภายในเงียบสงบ มีผู้คนมาเยี่ยมชมตลอดไม่ขาดสาย ทั้งจากภายในประเทศไทย และจากมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีซีย ด้านหน้าก่อนถึงตัวอาคาร เป็นทางเดินทอดยาว ระหว่างทางมีต้นปาล์มลูกเรียงรายเป็นทิวแถว ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งรู้สึกตื่นเต้น สัมผัสได้ถึงความสวยงามแลยิ่งใหญ่ของมัสยิดแห่งนี้ ทั้งอาคารสีที่ใช้ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เป็นมัสยิดที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งเท่าที่เคยเห็นมาเลยก็ว่าได้
เห็นภาพในอินเทอร์เน็ตมาเนิ่นนานหลายปี ดีใจมากที่สุดที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองตัวอาคารสีครีมกับสีส้มอ่อน และสีเหลือง มียอดโดมสีเขียวขนาดใหญ่กลาง และโดมขนาดเล็กลงไปล้อมรอบ 4 ด้าน ด้านข้างมีหออะซาน 2 หอ รอบตัวอาคารใช้ลวดลายตกแต่งสถาปัตยกรรมอย่างวิจิตรงดงาม และมีสระน้ำพุซึ่งมีพื้นน้ำสีเขียวมรกตอยู่บริเวณด้านหน้า สระน้ำเบื้องหน้าส่องสะท้อนแสงเงาของมัสยิดอย่างงดงาม ยิ่งเพิ่มความโดดเด่นให้แก่มัสยิดกลางแห่งนี้มากขึ้น ส่วนภายในสร้างเป็นห้องโถง มีระเบียงอยู่สองข้าง มีมิมบัรทรงสูงและแคบตั้งอยู่มีหินอ่อนประดับประดาอย่างงดงามมัสยิดกลางปัตตานีส่วนใหญ่จะใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ (ละหมาด) วันละ 5 เวลา เป็นกิจวัตรประจำวัน ใช้ในการละหมาดวันศุกร์ และการละหมาดในวันตรุษต่าง ๆ โดยมีชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ปัตตานี และพื้นที่อื่นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในวันศุกร์และวันเสาร์ จะมีการบรรยายธรรมะมีผู้เข้าฟังการบรรยาย ประมาณครั้งละ 3,000 คน เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในหลักการของศาสนา และเพื่อความถูกต้องในการบำเพ็ญศาสนกิจ เป็นศาสนสถานแห่งศรัทธา สง่างาม มีมนต์ขลัง มีสถาปัตยกรรมงดงาม เป็นอีกหนึ่งความสวยงามแห่งปัตตานีที่ควรค่าแห่งการมาเยือน
มัสยิดกรือแซะ
มัสยิดกรือแซะ หลังจากพักเที่ยวแวะทานอาหารกลางวันในตัวเมืองแล้ว เรามุ่งหน้าๆไปต่อยัง มัสยิดกรือแซะ เป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองปัตตานี สันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัสยิดปิตูกรือบัน ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงของประตูมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบโกธิคของยุโรป และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออกกลาง รูปลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน เสาทรงกลมเลียนรูปลักษณะเสา ช่องประตู หน้าต่างมีทั้งแบบโค้งแหลม และโค้งมนแบบโกธิค โดมและหลังคายังก่อสร้างไม่เสร็จ อิฐที่ใช้ก่อมีรูปลักษณะเป็นอิฐสมัยอยุธยา ตรงฐานมัสยิดมีอิฐรูปแบบคล้ายอิฐสมัยทวารวดีปะปนอยู่บ้าง
สำหรับประวัตของมัสยิด ตามหนังสือสยาเราะห์ปัตตานีของนายหะยี หวันหะซัน กล่าวว่า สุลต่านลองยุนุสเป็นผู้สร้างประมาณปีฮิจเราะห์ ๑๑๔๒ ตรงกับพุทธศักราช ๒๒๖๕ สมัยอยุธยาตอนปลาย เหตุที่ก่อสร้างไม่เสร็จเนื่องจากเกิดสงครามแย่งชิงราชสมบัติระหว่างสุลต่านลองยุนุสกับระตูปะกาลันซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์ หลังจากสุลต่านลองยุนุสสิ้นพระชนม์แล้ว ระตูปูยุดได้รับตำแหน่งสุลต่านเมืองตานีคนต่อมาได้ย้ายศูนย์การปกครองเมืองตานีไปตั้งอยู่ ณ บ้านปูยุด (ปัจจุบันอยู่ในเขตท้องที่ ตำบลปูยุด อำเภอเมืองปัตตานี) บริเวณที่ตั้งวังของระตูปูยุด ยังคงปรากฏร่องรอยกำแพงอยู่จนบัดนี้ จนไม่มีผู้ใด้คิดสร้างต่อเติมมัสยิดอีกทิ้งไว้รกร้าง ต่อมากรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และทำการบูรณะซ่อมแซม ทั้งนี้เพื่อให้มัสยิดกรือเซะคงสภาพเป็นโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองปัตตานี และใช้เป็นที่ปฏิบัติศาสนกิจได้ต่อไป ที่เที่ยวปัตตานี